ศิลปินลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง ชาวจังหวัดอุทัยธานี บรรลุ วิริยาภรณ์ประภาส เกิดเมื่อ ปี พ.ศ. 2508 เรียนจบ ปวช.ที่ วิทยาลัยอาชีวะจังหวัดนครสวรรค์ จากนั้นเข้าศึกษาในระดับ ปวส. ที่เพาะช่าง ประมาณปี พ.ศ.2529 หลังจากที่เรียนจบ ได้ไปสอบเป็นครูกรมอาชีวะที่โรงเรียนสารพัดช่าง จังหวัดพิจิตร
หนึ่งปีจากนั้นได้โอนย้ายตัวเองมาทำงานเป็นนายช่างศิลป์ ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พร้อมกับสมัครเรียนในระดับปริญญาตรีที่เพาะช่าง ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยกระทั่งเรียนจบปริญญาตรี ในปี พ.ศ. 2532
จังหวะที่อาจารย์เพาะช่างเกษียณอายุข้าราชการกันเยอะ บรรลุจึงได้สอบบรรจุเป็นอาจารย์ที่นี่ ทำงานได้สามปี ในปี พ.ศ. 2538 จึงลาไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร แล้วในปี พ.ศ.2542 ก็กลับมาเป็นอาจารย์ที่เพาะช่างจนกระทั่งปัจจุบัน พร้อมกับเป็นอาจารย์สอนสีน้ำนอกสถานที่ให้กับุคคลทั่วไปและทำงานศิลปะส่วนตัวของตัวเองไปด้วย โดยเฉพาะงานเขียนภาพสีน้ำ บรรลุถือได้ว่าเป็นศิลปินฝีมือดีคนหนึ่ง
“ผมเริ่มเรียนสีน้ำตั้งแต่เรียนระดับปวช. ตอนที่เรียนอยู่ที่อาชีวนครสวรรค์ ในปี พ.ศ. 2525 นั่นคือเริ่มรู้จักสีน้ำครั้งแรก อาจารย์ที่สอนเราแม้ว่าแกจะเขียนสีน้ำไม่เก่ง แต่แกเป็นครูสีน้ำที่ดีที่สุดสำหรับเรา แนะนำส่งเสริม ให้กำลังใจ เวลาปิดเทอมแกก็ยุให้ไปฝึกเขียน เขียนมากๆเข้า ก็เลยเริ่มทำให้เราเขียนสีน้ำได้ดีกว่าเพื่อนคนอื่นในเวลานั้น เพราะเราฝึกเขียนเยอะ อาจารย์ก็เอางานไปโชว์ คนเรียนศิลปะมันชอบอวด มีคนชมมากๆ ก็เลยมีกำลังใจเขียนเยอะขึ้น พอมาเรียนปวส.ที่เพาะช่าง อาจารย์เขาก็เอางานที่ส่งเรียนตามปกติ มาแสดงเป็นนิทรรศการให้ ปรากฎว่ามีครูเพาะช่างซึ่งเป็นครูอาวุโสสองคนมาขอซื้อ
ตอนแรกเราก็ไม่คิดจะเขียนสีน้ำต่อหรอก เพราะเรียนสีน้ำก็ต้องต่อด้วยการเรียนสีน้ำมัน แต่พอตอนนั้นสีน้ำขายได้ เป็นภาพทิวทัศน์คลองหลอด อาจารย์ให้มา 500 บาท ทำให้เราติดยึดว่าเราจะไม่ทิ้งสีน้ำ แม้เรียนสีน้ำมันก็จะเขียนสีน้ำ หลงตัวเองอยู่พักหนึ่งว่าแม่งเก่งว่ะ หลังจากนั้นพอเรียนจบทำงานก็หยุดเขียนไปนาน ช่วงที่ทำงาน ไปรับจ๊อบทำงานเรซิน ทำทุกอย่างเพื่อหาสตางค์ จนกระทั่งมันท้อไม่ได้ประสบผลสำเร็จอย่างที่คิด
ตอนที่เริ่มเรียนปริญญาโทที่มศว.ก็มาเจอ อาจารย์อารี สุทธิพันธุ์ ด้วยพื้นฐานที่เรามีเรื่องของการเขียนสีน้ำ ผมก็คิดว่าแกน่าจำให้ผมเป็นศิลปินหรือเก่งขึ้น แต่เวลาไปเรียนกับแกจริงๆ แกก็เริ่มจากการเรียนพื้นฐานง่ายที่สุดในโลกเลยล่ะ ตอนแรกเราก็รับลำบากเหมือนกัน พอเรียนไปสักพัก ไอ้สิ่งที่แกสอนนั่นแหล่ะ เป็นสิ่งที่ทำให้รากฐานของผมแน่น อธิบายอะไรได้อย่างง่ายๆ มีเหตุมีผล
เห็นแกอายุเยอะมากแล้ว แต่แกก็ยังขียนภาพอยู่ทุกวัน ผมเองคิดว่าผมแม่น ไปเจอคนจริงอย่างนั้นเข้า มันไม่ใช่ เราไม่ได้เศษส่วนของเขาเลย แกก็ให้กำลังใจ ตอนแรกก็ด่าๆ นั่นแหล่ะ แต่ผมก็บ้าทำตามที่แกบอก แกบอกไม่อยากให้ผมทำชาล้นถ้วย เรียนไปก็แรกๆก็ยังยึดติดความเป็นเพาะช่างอยู่ ทีนี้แกบอกอะไรมาผมก็ลองทำแบบของแก ทำมากๆเข้ามันก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ประสบการณ์จากการเขียนเยอะๆ โดยเริ่มจากรากฐานเนี่ยทำให้ผมกล้าที่จะอธิบายเรื่องของสีน้ำ ขั้นตอนของสีน้ำ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคำถามที่คนถามเกี่ยวกับปัญหาของการระบายสีน้ำได้
และตอนนี้ผมก็คิดว่าผมมั่นใจที่จะอธิบายด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความเป็นจริง แต่ไม่ใช่จิตวิญญาณอะไรนะ แต่เป็นการอธิบายขั้นตอน กระบวนการ และเหตุผล ในการระบายแต่ละครั้ง มันทำให้พูดได้ อธิบายได้ และทำให้ผมกล้าสอนผู้ใหญ่ได้ อาจารย์อารี แกเห็นผมเขียนจริงทำจริง เห็นว่าผมกัดไม่ปล่อย แกบอกอะไรผมก็ทำตาม ตอนแรกๆแกก็ด่า นานๆเข้าแกก็ชวนผมคุย และก็ให้กำลังใจ ให้หนังสือให้หนังหามาเยอะแยะ ผมก็เลยรู้ว่าที่แกด่า แกไม่มีอะไรหรอก แกกระตุ้นให้ผมหลุดจากอีโก้ของเดิม ไม่ติดยึด ไม่ฝังใจอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ใดที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่เป็นชาล้นถ้วย อะไรมาใหม่ก็รับไว้รับไว้ นั่นคือประสบการณ์ที่จะเพิ่มขึ้น ของเก่าไม่ได้หายไปไหน”